เวลา 08.00 น. รถไฟพาเรามาถึงสถานีนครปฐม เพื่อไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ให้เวลา 30 นาที ความรู้สึกว่าน้อยไปนิดนึง เพราะพอเราลงจากสถานีก็เป็นตลาด ยอมรับว่าเราไม่ใช่คนพื้นที่ก็งงเหมือนกัน โชคดีเดินตามคนที่ลงจากรถไฟกลุ่มใหญ่จึงทำให้เห็นองค์พระปฐมเจดีย์ที่ใหญ่มาก เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสเดินดูโดยรอบ ไหว้พระเสร็จก็ต้องรีบกลับกลัวจะไม่ทันรถไฟ พอกลับมาถึงรถไฟรถไฟก็เริ่มเดินทางอีกครั้งผ่านราชบุรีเข้าสู่กาญจนบุรี
เวลา 10.00 น. รถไฟจอดที่สถานีสะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำแควที่เชลยศึกเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 ในขณะที่สร้างนั้นมีคนตายหลายพันคน
ทางขึ้นสะพานมีลูกระเบิดสมัยนั้นตั้งว่างโชว์ 2
ข้างทางเพื่อเป็นอนุสรณ์
จากการเดินทางครั้งนี้ทำให้รู้สึกว่าสมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่พัฒนาการสร้างทางรถไฟซึ่งมีแม่น้ำแควเฉียวกราดทำให้สร้างได้ยากน่าดู
ทางรถไฟให้เวลาเดินดู 20 นาทีในการเที่ยวชม
หลังจากนั้นขบวนรถไฟได้เดินทางออกจากสะพานข้ามแม่น้ำแควมุ่งหน้าที่ถ้ากระแซ
เพื่อส่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องไปโลดโผนและรีสอรท์ที่สวยงาน
เสียดายไม่ได้ลงก็คงเป็นครั้งหน้าถ้ามีโอกาส หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่เส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์สำคัญที่ยงเปิดใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้
ถูกสร้างมาจากเชลยศึกและเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเส้นหนึ่ง(ทางรถไฟสายมรณะ)โดยรถไฟจะลัดเลาะไปตามหน้าผาซึ่งสูงมาก
พอข้ามมาแล้วจะพบถ้ำภายในมีพระพุทธรูปหลายองค์และลูกระเบิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 หลังจากนั้นรถไฟก็จะมู่งสู่น้ำตกไทรโยคน้อย
ระหว่างทางขอให้นั่งกันระวังด้วยเพราะต้องผ่านป่าไผ่และอีกมากมายซึ่งถ้าคุณยืนมือ แขน หัว อาจเป็นอันตรายอย่างมาก ผมนั่งอยู่ในรถไฟได้ยินเสียงต้นไม้เกี่ยวกับรถไฟจนน่าหวาดกลัว
บางคนถึงขนาดปิดกระจกเลยที่เดียว และรถไฟก็มาถึงสถานีน้ำตกซึ่งเป็นต้นทางก่อนขึ้นน้ำตกไทรโยคน้อยเนื่องจากเป็นภูเขาชัน
ทางเจ้าหน้าที่รถไฟบอก “รถไฟจะต้องถอยหลังและวิ่งขึ้น เพื่อเป็นกำลังส่งจึงจะขึ้นภูเขาได้”
แต่ถ้าขึ้นไม่ไหว ก็มีรถสองแถวไปส่งคนที่น้ำตกไทรโยคน้อยคนละ 10 บาท ทำให้เราต้องลุ้นว่าจะขึ้นได้หรือไม่
และแล้วรถไฟของเราก็สามารถขึ้นสู่ทางชั่นไปสู่น้ำตกไทรโยคน้อยได้ เป็นผลสำเร็จ
เวลา 12.10 น. พอถึงแล้วเจ้าหน้าที่แจ้งว่ารถไฟจะออกตอน
14.20 น. ขอให้ทุกคนมาพร้อมกันที่รถไฟ
ทำให้เรามีเวลาเที่ยวชมประมาณ 2 ชั่วโมง
พอลงจากรถได้ก็เห็นร้านค้าต่างๆ มากมายรวมถึงของฝาก
ช่วงนี้หิวข้าวมากจึงตรงไปที่ร้านอาหาร ชื่อไกลรุ่ง สั่งไก่ย่างครึ่งตัวและข้าวผัดแหนม
ส่วนน้องชายสั่งข้าวขาหมู จากการนั่งกินภายในร้าน
ได้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาร่วมกินด้วย นั่นคือหมาที่อยู่ภายในร้านบอกได้เลยว่าฉลาดมากๆ
ขั้นแรกมันได้ไปสะกิดหลังน้องชายก่อนเพื่อขอกิน
หลังจากนั้นก็เดินเข้ามาสะกิดที่หน้าตักผม ด้วยความสงสารก็ได้โยนไก่ให้มันบ้าง แต่ด้วยความหิวเราเลยรีบกิน
เจ้าหมาเห็นว่าไม่ยื่นไก่ให้มัน มันจึงใช้ขานั่งวางที่ตักเราเลย ก็เลยต้องคอยส่งไก่ให้หมากินไปด้วยกินข้าวไปด้วย
เมื่อกินเสร็จแล้ว ก็เดินทางขึ้นเขาตรงไปที่น้ำตกไทรโยคด้วยความตั้งใจจะไปเล่นน้ำ
ชมธรรมชาติอย่างเต็มที่ แต่พอไปถึงก็พบว่ามันเล็กไม่ใหญ่อย่างที่เราคิด
ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กประมาณ 7-10 ขวบ กระโดดเล่นน้ำส่วนผู้ใหญ่มีนิดหน่อย
ผมจึงมองไปรอบๆ ก็พบว่าถ้ามากันเป็นครอบครัวจะปูเสื่อนั่งกินข้าวกันตามจุดต่างๆ
ลักษณะมานั่งกินเอาบรรยากาศ ผมก็เลยคิดในใจ ไม่เป็นไรไหนๆ ก็มาแล้ว
ขอถ่ายภาพน้ำตกสวยๆ หน่อยแล้วกันส่วนเล่นน้ำนั่นไม่เล่นดีกว่า
แล้วผมก็ปีนไปตรงหน้าผาเพื่อที่จะได้ภาพที่สวยที่สุด
และน้องชายก็มองไปเห็นเหมือนอุโมงค์บริเวณหน้าผาของน้ำตก
แล้วน้องชายก็เข้าไปถ่ายรูป
ส่วนผมนั้นไม่ได้เข้าเพราะกลัวกล้องโดนน้ำจึงขอรออยู่ด้านนอก
ขณะที่รอนั้นก็มีผู้ชายลื่นตรงทางเดินน้ำตกและให้ผมช่วยถือกล้องกับมือถือให้เพราะเปียกน้ำ
และน้องชายก็ลื่นอีกคน แต่ไม่เป็นอะไรมาก ทำความสะอาดแล้วก็ลงมาจากน้ำตกไทรโยคน้อยเดินดูของฝากถือว่าไม่แพง
4 ถุง 100 บาท อุดหนุนแล้วก็เดินไปมารอเวลาขึ้นรถไฟ
เมื่อถึงเวลาพบว่ามีทางขึ้นหน้าผาของเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อไปดูต้นน้ำตกไทรโยคประมาณ
2 กิโลเมตร
ลองขึ้นไปกลางทางก็พบว่าธรรมชาติมากแต่กลัวกลับรถไฟไม่ทันจึงไปได้นิดเดียว
ก็รีบลงมาขึ้นรถไฟ เมื่อถึงเวลารถไฟก็พาเรากลับเส้นทางเดิม
รับคนที่ไปเที่ยวสถานีถ้ำกระแซ และย้อนกลับเส้นทางเดิม
รถไฟแวะสุสานเชลยศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งส่วนตัวยังไม่พบสิ่งที่น่าสนใจนอกจากของฝาก
ขนมเบื้องเปียกอร่อยๆ เท่านั้น หลังจากนั้นรถไฟก็เดินทางมุ่งสู่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ในเวลาประมาณ
20.45 น. ในที่สุดก็จบการเดินทางอีกครั้ง ( สามารถติดตามชม VDO ได้ )
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น